พระอนุสาวรีย์ พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ภายในฐานทัพเรือสัตหีบ บริเวณซึ่งเคยเป็นที่ตั้งกองบังคับการสถานีทหารเรือสัตหีบ (ชื่อหน่วยงานในขณะนั้น) ขนาบข้างอยู่ด้วยต้นประดู่สองต้น ซึ่งพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงทรงปลูกไว้ เมื่อคราวเสด็จพระราชดำเนินมาทรงประกอบพิธีเปิดพระอนุสาวรีย์ เมื่อวันที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2510
นอกจากนั้น ที่ฐานของพระอนุสาวรีย์ ยังมีลูกตอร์ปิโดติดตั้งขนาบอยู่ทั้งสองด้าน ร่วมกับปืนเรือและลูกระเบิดซึ่งอยู่ถัดออกมา

หากมองอย่างผิวเผิน ภาพเช่นนี้ก็ดูคล้ายเป็นการนำเอายุทโธปกรณ์ที่ปลดประจำการแล้ว มาประดับตกแต่งภูมิทัศน์ ดังที่พบเห็นกันได้ทั่วไปตามหน่วยทหาร แต่แท้ที่จริงแล้ว การติดตั้งลูกตอร์ปิโดไว้ที่ฐานของพระอนุสาวรีย์ กลับมีความหมายที่ลึกซึ้งสอดคล้องอย่างยิ่งกับข้อเท็จจริงในพระประวัติ
เพราะพระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ ทรงเป็นชาวสยามพระองค์แรกที่ได้ศึกษาหาความรู้ด้านเทคโนโลยีตอร์ปิโด จากแหล่งต้นกำเนิดของเทคโนโลยีนี้
ปัจจุบัน พจนานุกรมได้ให้ความหมายต่อคำ “ตอร์ปิโด” ว่าคือเครื่องกลจําพวกลูกระเบิดที่ปล่อยให้แล่นไปในนํ้า หรือ อาวุธประเภทลูกระเบิดที่ยิงให้พุ่งไปใต้นํ้า เพื่อทำลายที่หมายในการศึก แต่ในยุคที่พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ยังทรงศึกษาอยู่ที่อังกฤษนั้น คำว่า “ตอร์ปิโด” หมายถึงทุ่นระเบิดที่วางนิ่งๆ ไว้ใต้น้ำเพื่อคอยดักเรือข้าศึก โดยมีระบบควบคุมการจุดระเบิดได้จากระยะไกล ส่วนตอร์ปิโดซึ่งสามารถแล่นไปในนํ้าเพื่อทําลายที่หมายได้ตามที่รู้จักกันในปัจจุบันนั้น เรียกกันเมื่อยุคที่พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ยังทรงศึกษาว่า “ตอร์ปิโดไวท์เฮด”

ชื่อเรียกนี้ มีที่มาจากนามของ Mr. Robert Whitehead วิศวกรผู้พัฒนาตอร์ปิโดแล่นไปในนํ้าได้เองที่มีประสิทธิภาพได้สำเร็จเป็นรายแรกของโลก และเป็นผู้ก่อตั้งบริษัท Whitehead ซึ่งเป็นผู้ผลิตตอร์ปิโดชั้นนำแห่งยุค

โรงงานของนายไวท์เฮด “บิดาแห่งตอร์ปิโดแล่นไปในนํ้าได้เอง” คนนี้นี่แหละ ที่เป็นแหล่งศึกษาหาความรู้ด้านเทคโนโลยีตอร์ปิโดของพระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์
หลังทรงสำเร็จการศึกษาตามระบบในราชนาวีอังกฤษ ที่วิทยาลัยทหารเรือกรีนิชแล้ว พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์มีพระประสงค์จะทรงหาความรู้ที่เกี่ยวเนื่องกับการทหารเรือต่อไป ที่ปรึกษาราชการสถานอัครราชทูตสยาม ณ กรุงลอนดอน จึงได้เชิญเสด็จไปเมือง Newcastle เพื่อทอดพระเนตรกิจการและโรงงานของบริษัท Armstrong ตามคำทูลเชิญของ Sir Andrew Noble ซึ่งเป็นทั้งผู้บริหารระดับสูง และเป็นนักค้นคว้าวิจัยพัฒนาอาวุธและดินปืนที่มีความสามารถ
โดยการแนะนำของ Sir Noble พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์จึงได้ทรงรู้จักกับ Georg Anton, Count of Hoyos สามีของ Alice Whitehead ซึ่งเป็นบุตรีของนาย Robert Whitehead ซึ่ง Count Anton ก็ได้ทูลเชิญเสด็จไปทอดพระเนตรโรงงานตอร์ปิโดของบริษัทเป็นระยะเวลา 2-3 สัปดาห์ โดยจะจัดที่ประทับถวายและมีเจ้าหน้าที่คอยถวายคำแนะนำด้วย
บริษัทตอร์ปิโดไวท์เฮดยุคนั้น ก่อตั้งและดำเนินงานโดยการสนับสนุนของราชนาวีอังกฤษ มีโรงงานอยู่ทั้งที่เมือง Weymouth ในประเทศอังกฤษ และที่เมือง Fiume ในออสเตรีย ซึ่งปัจจุบันคือเมือง Rijeka ในประเทศโครเอเชีย

โรงงานตอร์ปิโดที่ Weymouth ไม่ได้เป็นเพียงโรงงานอุตสาหกรรมแห่งหนึ่ง แต่ยังเป็นแหล่งวิจัยและพัฒนาตอร์ปิโด เพราะในเวลานั้น Weymouth เป็นที่ตั้งฐานทัพเรือขนาดใหญ่ รวมทั้งเป็นศูนย์กลางการพัฒนาเทคโนโลยีการสงครามใต้ผิวน้ำของราชนาวีอังกฤษ ทั้งด้านตอร์ปิโดและเรือดำน้ำ ด้วยชัยภูมิของอ่าว Portland ที่มีการสร้างเขื่อนกันคลื่นครอบคลุมอาณาบริเวณกว้างขวาง เหมาะแก่การเป็นพื้นที่ทดสอบและฝึกฝนการยิงตอร์ปิโด
ลายพระหัตถ์พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ ส่งจากอังกฤษมากราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ลงวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2442 มีเนื้อความตอนหนึ่งว่า
Beacon Hill, Wake Regis, Weymouth.
Dec 1st 1899.
… Mr. Whitehead’s partner the Count Hoyos has been so kind as to let me into all the secrets without charging anything for my learning all about them. I am staying down here with the manager Captain Payne Gallwey. I am learning all the machanism and the way to set and control the torpedo which is not very difficult.
After this sometime this mouth I am going Fiume in Austria the head quarter of this work for a few weeks just to see all the different types of Torpedoes for different nations …
เมื่อเสร็จการทอดพระเนตรกิจการโรงงานตอร์ปิโด ทั้งที่เมือง Weymouth และเมือง Fiume แล้ว พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ได้เสด็จไปทอดพระเนตรโรงงานสร้างปืนใหญ่ที่เมือง Creuzot ในประเทศฝรั่งเศส แล้วเสด็จไป ทอดพระเนตรกิจการสร้างปืนใหญ่และเรือรบของบริษัท Armstrong ที่ Newcastle รวมทั้งโรงงานสร้างเรือตอร์ปิโด Turbinia Works ในเมืองเดียวกัน จากนั้นเสด็จจากอังกฤษในวันที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2443 ไปแวะทอดพระเนตรกิจการสร้างปืนของบริษัท Krupp ในเยอรมัน แล้วเสด็จต่อไปประทับเรือโดยสารชื่อ Bayern ที่เมืองท่า Genova ประเทศอิตาลี ในวันที่ 15 พฤษภาคม มุ่งหน้าสู่สิงคโปร์ เพื่อเสด็จนิวัตสยามต่อไป
ช่วงเวลาไล่เลี่ยกันนั้นเอง มีรายงานข่าวในหนังสือพิมพ์ที่สิงคโปร์ The Singapore Free Press and Mercantile Advertiser ฉบับวันที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2443 ความว่า
… H.R.H. Prince Abhakara of Siam, who was for some time in Her Britannic Majesty’s Navy, has invented a new submerged torpedo tube, which the Admiralty have accepted from him …
เนื้อข่าวเดียวกัน ได้รายงานในสยามผ่านวารสาร “ยุทธโกษ” เล่ม 8 ตอน 9 ประจำเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2443 ในคอลัมน์ “ข่าวต่างประเทศ” เรื่อง “เครื่องยุทธยนตร์ใหม่พิเศษ เกิดขึ้นด้วยพระปัญญาของเจ้านายฝ่ายสยาม” โดยอ้างอิงข้อมูลข่าวจาก “จดหมายเหตุอังกริษซึ่งออกเมื่อเดือนเมษายน ร.ศ. 119” มีเนื้อข่าวสำคัญว่า
… พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงษ์ … ได้เอาพระไทยใส่ ทรงตรึกตรองประดิษฐ์เครื่องยุทธยนตร์เปนหลอดอย่างใหม่ สำหรับปล่อยลูกระเบิด “โตร์ปิโด” ใต้น้ำ ให้แล่นระเบิดไปทำลายเรือรบของข้าศึก เปนการแยบคายแปลกประหลาดมาก ฝ่ายกระทรวงสมุทยุทธนาธิการแห่งประเทศอังกริษ ได้ประชุมกันตรวจสอบทดลอง เห็นเปนของมีประโยชน์สำหรับใช้ในการศึกได้โดยแท้แล้ว ก็มีความนิยมยินดี รับมาใช้ตามแบบตัวอย่างของพระองค์ท่าน …

ที่น่าทึ่งยิ่งไปกว่านั้นก็คือ คอลัมน์ Dockyard Notes ในนิตยสาร The Engineer ซึ่งเผยแพร่ที่ประเทศอังกฤษในปีเดียวกัน ก็ได้กล่าวถึงพระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์เอาไว้ โดยระบุรายละเอียดเนื้อข่าวอย่างแตกต่างและน่าสนใจยิ่ง
… H. R. H. Prince Abhakara of Siam … has, it is currently reported, gone back to Siam with twenty-seven thousand pounds, paid by the Admiralty for a submerged tube that he recently invented …
ปัจจุบัน คณะผู้ปฏิบัติงานค้นคว้าพระประวัติ มูลนิธิราชสกุลอาภากรฯ ยังไม่สามารถค้นพบหลักฐานข้อมูลจากจดหมายเหตุหรือเอกสารชั้นต้น ที่สามารถอธิบายถึงรายละเอียดว่าพระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ทรงศึกษาความรู้หรือทรงมีผลงานนวัตกรรมเกี่ยวกับตอร์ปิโดในลักษณะใดบ้าง แต่เนื้อหาข่าวต่าง ๆ ดังที่กล่าวมา ก็สามารถสะท้อนถึงความรู้ความเข้าใจของพระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ต่อระบบอาวุธตอร์ปิโด อันเป็นวิทยาการสงครามที่เพิ่งจะแพร่หลายในนานาประเทศ
หลายปีหลังจากนั้น เมื่อทรงรับราชการจนทรงดำรงพระอิสริยยศเป็น พลเรือตรี พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหมื่นชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ รองผู้บัญชาการกรมทหารเรือ ได้ทรงจัดทำโครงสร้างกำลังรบทางเรือถวายแด่ พลเรือโท สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมขุนนครสวรรค์วรพินิต องค์ผู้บัญชาการ กรมทหารเรือ กระทั่งกรมทหารเรือได้รับงบประมาณสร้างเรือตามโครงสร้างกำลังรบฉบับนั้น เป็นเรือพิฆาตตอร์ปิโด หรือ Torpedo Boat Destroyer อันนับว่าเป็นเรือที่ทรงอานุภาพและมีอาวุธทันสมัยมาก ได้รับพระราชทานชื่อว่า “เสือทยานชล” กับเรือตอร์ปิโดอีก 3 ลำ จากประเทศญี่ปุ่น ขึ้นระวางประจำการเมื่อ พ.ศ. 2451
อาวุธตอร์ปิโดที่ซื้อมากับเรือเสือทยานชลและเรือตอร์ปิโดที่ 1 – 2 – 3 ในคราวนั้น จัดว่าเป็นอาวุธใหม่ ทันสมัย ไม่เคยมีใช้มาก่อนในกรมทหารเรือสยาม องค์รองผู้บัญชาการกรมทหารเรือคือเสด็จในกรมหมื่นชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ ซึ่งเป็นผู้มีความรู้เรื่องตอร์ปิโดอย่างแท้จริงมากที่สุดในเวลานั้น จึงได้ทรงฝึกสอนทั้งนายทหารสัญญาบัตรและประทวนด้วยพระองค์เอง ในการถอดประกอบ ทดลอง และใช้งานตอร์ปิโด ทั้งการฝึกบนบกและทดลองยิงในทะเล

จากพระปรีชาและพระกรณียกิจเหล่านี้ พระอนุสาวรีย์ที่มีลูกตอร์ปิโดติดตั้งขนาบฐานอยู่ทั้งสองด้าน จึงมีความหมายที่ลึกซึ้งและสอดคล้องกับข้อเท็จจริงในพระประวัติ พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ อย่างแท้จริง
