ชื่อ “กรีนิช” เกี่ยวข้องกับการทรงศึกษาวิชาทหารเรือในอังกฤษ ของนายพลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ อย่างน้อย 2 ช่วงเวลา คือระหว่างทรงเรียนวิชาพื้นฐานเตรียมสอบเข้าโรงเรียนนายเรือในโรงเรียนเตรียมการ (Preparation School) ของนาย William Thomas Littlejohns หรือ W.T. Littlejohns ที่ย่านกรีนิช และระหว่างที่ทรงศึกษาในวิทยาลัยทหารเรือกรีนิช

Writer : นิธิ วติวุฒิพงศ์

25 December 2020

ตามรอยพระประวัติกรมหลวงชุมพรฯ ณ ริมฝั่งแม่น้ำเทมส์

ใครก็ตามที่เคยศึกษาพระประวัติของนายพลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ย่อมจะต้องคุ้นเคยกับชื่อ “กรีนิช”

หรือแม้แต่ผู้ที่ไม่ได้ศึกษาพระประวัติ อย่างน้อยที่สุดก็คงคุ้นเคยกับคำว่า “เวลามาตรฐานกรีนิช” หรือ Greenwich Mean Time: GMT ซึ่งคือมาตรฐานการอ้างอิงเวลาของคนทั้งโลก

นักอ่านที่ชอบสำรวจเรื่องราวในหนังสือเก่า ๆ อาจเคยผ่านตากับตำบลชานกรุงลอนดอนที่ชื่อ “กรีนนิช”

และสำหรับผู้ใช้วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี ก็จะได้เจอกับเขตการปกครองของกรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร ที่สะกดเป็นภาษาไทยว่า “เกรนิช”

ชื่อต่าง ๆ เหล่านี้ สื่อความหมายถึงสิ่งเดียวกัน นั่นก็คือ Greenwich อันเป็นนามของเขตการปกครองทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของกรุงลอนดอน พื้นที่ด้านหนึ่งขนาบไปตามลำแม่น้ำเทมส์ ไม่ไกลจากใจกลางเมืองมากนัก แต่กลับสวยงาม เงียบสงบทว่ามีสีสัน คือมีชีวิตชีวาอย่างไม่พลุกพล่านจอแจ

ชื่อ “กรีนิช” เกี่ยวข้องกับการทรงศึกษาวิชาทหารเรือในอังกฤษ ของนายพลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ อย่างน้อย 2 ช่วงเวลา คือระหว่างทรงเรียนวิชาพื้นฐานเตรียมสอบเข้าโรงเรียนนายเรือในโรงเรียนเตรียมการ (Preparation School) ของนาย William Thomas Littlejohns หรือ W.T. Littlejohns ที่ย่านกรีนิช และระหว่างที่ทรงศึกษาในวิทยาลัยทหารเรือกรีนิช

โรงเรียนของนาย Littlejohns เป็นหนึ่งในโรงเรียนเอกชนซึ่งมีอยู่หลายแห่งในอังกฤษยุคนั้น เพื่อรับกวดวิชาเตรียมสอบเข้าโรงเรียนนายเรือเป็นการเฉพาะ โรงเรียนส่วนใหญ่มีผู้ก่อตั้งและอาจารย์ใหญ่เป็นอดีตครูฝึกในราชนาวี ส่วนนักเรียนมีตั้งแต่เยาวชนสามัญจนถึงเจ้านายในราชตระกูล

พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ ทรงเริ่มศึกษาที่โรงเรียนของนาย Littlejohns ในอาคารชื่อ The Limes บนเนินเขาใกล้แม่น้ำเทมส์ในกรีนิช เมื่อ พ.ศ. 2438

เนินเขานั้น ทอดตัวต่อเนื่องกับเนินเขาอันเป็นที่ตั้งของ Royal Observatory in Greenwich หรือหอดูดาวหลวงกรีนิช อันเป็นที่กำเนิดของการอ้างอิงเวลามาตรฐานกรีนิชในปัจจุบัน

ใน พ.ศ. 2218 ซึ่งคือราว 2 ศตวรรษเศษก่อนพระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์เสด็จไปทรงศึกษา พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 2 พระราชทานที่ดินส่วนหนึ่งบนยอดเขานี้เพื่อสร้างเป็นหอดูดาวแห่งแรกของอังกฤษ จึงได้เริ่มมีการกำหนดเส้นเมริเดียนกรีนิชมาตั้งแต่ปีนั้น

ในความเป็นจริง เส้นเมริเดียนไม่ได้เป็นเส้นที่ลากลงไปบนพื้นโลก แต่เป็นเส้นสมมุติที่ลากจากขั้วโลกเหนือไปยังขั้วโลกใต้ตามหลักดาราศาสตร์เพื่อใช้ในการกำหนดตำแหน่งดวงดาวและอ้างอิงเวลา โดยนับเวลาที่ดวงอาทิตย์ข้ามผ่านเส้นเมริเดียนเป็นจุดกำหนดเวลาเที่ยงวัน ต่อมานักดาราศาสตร์ที่หอดูดาวกรีนิชพบว่าดวงอาทิตย์ไม่ได้ข้ามผ่านเส้นเมริเดียนตอนเที่ยงวันเสมอไป จากแกนโลกที่เอียงและการโคจรเป็นวงรีของโลกรอบดวงอาทิตย์ พวกเขาจึงคิดหาวิธีกำหนดค่าเฉลี่ยของเวลาเที่ยงวัน โดยคำนวณจากค่าเฉลี่ยเวลาที่ดวงอาทิตย์ข้ามผ่านเส้นเมริเดียนและอยู่ในตำแหน่งสูงสุดตอนเที่ยงวันในรอบหนึ่งปี เรียกว่า “เวลามาตรฐานกรีนิช”

หนึ่งในกลุ่มคนที่ใช้ประโยชน์จากศาสตร์เหล่านี้โดยตรง ทั้งเรื่องของเวลามาตรฐานและการเคลื่อนที่ของดวงดาวก็คือนักเดินเรือ โดยอังกฤษเป็นประเทศแรก ๆ ที่พัฒนาเครื่องมือบอกเวลาในการเดินทะเล จนนำไปสู่การคิดค้นปฏิทินเดินเรือใน พ.ศ. 2310

นี่คือข้อเท็จจริงในประวัติศาสตร์ ซึ่งสะท้อนถึงความลึกซึ้งในศาสตร์ความรู้วิชาการเดินเรือ ของประเทศที่พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ทรงศึกษา

ความโดดเด่นเป็นผู้นำด้านศาสตร์การเดินเรือของอังกฤษ ยังสะท้อนผ่านอีกข้อเท็จจริงที่ว่า ในอดีตนั้น เส้นเมริเดียนไม่ได้มีเฉพาะที่กรีนิชเท่านั้น โดยหลายประเทศที่มีองค์ความรู้ด้านการเดินเรือต่างก็กำหนดเส้นเมริเดียนของตัวเอง จนกระทั่งในปลาย พ.ศ. 2427 ซึ่งคือเพียง 11 ปีก่อนที่พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์จะทรงเริ่มศึกษาที่กรีนิช ก็มีการประชุมนานาชาติเพื่อกำหนดเส้นเมริเดียนเป็นมาตรฐานเดียวกันของทุกประเทศ ได้ข้อสรุปให้เส้นเมริเดียนที่กรีนิชเป็นเส้นเมริเดียนปฐมของโลก เนื่องจากเป็นที่รู้จักแพร่หลายและมีการใช้งานในปฏิทินเดินเรือมาก่อนแล้ว

ความพิเศษในการทรงศึกษาวิชาทหารเรือที่อังกฤษของพระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ จึงไม่ได้มีแค่เพียงในด้านแสนยานุภาพของกองทัพ เทคโนโลยีการต่อเรือ หรือความล้ำหน้าด้านการผลิตอาวุธอย่างที่มักกล่าวกันเท่านั้น หากยังมีเรื่องของความลึกซึ้งในศาสตร์การเดินเรือของชาวทะเลในประเทศนี้รวมอยู่ด้วย

หอดูดาวหลวงกรีนิชตั้งอยู่บนเนินสูง ผู้ที่ไปเยือนกรีนิชตรงบริเวณเส้น 0 องศาหรือเส้นเริ่มต้นเวลาของโลก จึงสามารถมองวิวทิวทัศน์ของเมืองกรีนิชจากมุมสูง ลงไปตามลาดเขาซึ่งเป็นสวนสาธารณะงดงาม สู่กลุ่มอาคารยิ่งใหญ่ตระการตาริมฝั่งแม่น้ำเทมส์ทางด้านล่าง ซึ่งในอดีตคือ “วิทยาลัยทหารเรือกรีนิช” หรือ Royal naval College ซึ่งพระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ทรงเข้าศึกษาวิชาเดินเรือและวิชาการนำร่องนั่นเอง

พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ทรงเข้าศึกษาวิชาการเดินเรือในวิทยาลัยแห่งนี้ ตั้งแต่วันที่ 21 พฤษภาคม จนถึงวันที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2442 หลังจากนั้นจึงทรงศึกษาวิชาการนำร่อง จนถึงวันที่ 10 พฤศจิกายน ปีเดียวกัน

ในอดีต พื้นที่ดั้งเดิมของวิทยาลัยทหารเรือกรีนิช เป็นที่ตั้งของพระราชวังพลาเซ็นเทีย อันเป็นสถานที่พระราชสมภพของประมุขหลายพระองค์ เช่น พระเจ้าเฮนรีที่ 8 สมเด็จพระราชินีแมรี่ที่ 1 และสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 1ต่อมามีการก่อสร้างอาคารขึ้นใหม่ เพื่อใช้เป็นโรงพยาบาลที่งดงาม สำหรับพักฟื้นทหารเรือที่บาดเจ็บหรือเจ็บป่วยจากราชการสงคราม เป็นเสมือนการตอบแทนบรรดาทหารหาญผู้ปฏิบัติหน้าที่เพื่อประเทศชาติในสมรภูมิ

กระทั่งถึง พศ. 2416 จึงเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์อาคาร จากโรงพยาบาลสู่การเป็นวิทยาลัยทหารเรือ จนถึง พ.ศ. 2541

กลุ่มอาคารนี้ ปัจจุบันได้รับยกย่องจาก UNESCO ให้เป็นมรดกโลก และชาวอังกฤษเองก็ถือว่าเป็นกลุ่มสถาปัตยกรรมและภูมิทัศน์ที่งดงามโดดเด่นแห่งหนึ่งของประเทศ นับเป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งของกรุงลอนดอน และเป็นฉากในภาพยนตร์ที่มีชื่อเสียงระดับโลกมากมายหลายเรื่อง

การตกแต่งประดับประดาที่งดงามภายในอาคาร เช่นในหอสวดมนต์ (The Chapel) ที่นักเรียนทหารเรือทั้งหมดจะมาปฏิบัติศาสนกิจกันทุกสัปดาห์ในอดีต หรือห้องโถงประดับภาพวาด (Painted Hall) อันเคยเป็นห้องรับประทานอาหารของนักเรียนทหารเรือ สะท้อนถึงอีกแง่มุมหนึ่งของพระชนมชีพระหว่างทรงศึกษาวิชาทหารเรือ ที่นอกเหนือจากทรงฝึกเผชิญความเหน็ดเหนื่อยด้วยความทรหดอดทนในท้องทะเลแล้ว ยังน่าจะทรงซึมซับสุนทรียะอันเป็นเลิศ จากวิถีของการดำเนินพระชนมชีพในความงามวิจิตรและแบบแผนอันประณีตของวิทยาลัยทหารเรือแห่งนี้

ร่องรอยความผูกพันแน่นแฟ้นระหว่างวิทยาลัยทหารเรือกรีนิชกับพระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ นอกเหนือจากรายละเอียดในเอกสารจดหมายเหตุต่าง ๆ แล้ว ยังเห็นได้จากบทความเรื่อง “หวนรำลึกนึกถึง ฯพณฯ พลเรือเอก สินธุ์ กมลนาวิน อดีตผู้บัญชาการทหารเรือฯ” ประพันธ์โดย พลเรือเอก หลวงชลธารพฤฒิไกร อดีตรองผู้บัญชาการทหารเรือ เมื่อ พ.ศ.2519 เผยแพร่ในหนังสืออนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ พลเรือเอก สินธุ์ กมลนาวิน (หลวงสินธุสงครามชัย) มีความตอนหนึ่งว่า

“… เมื่อครั้งที่ข้าพเจ้าได้ไปร่วมประชุมสภาสากลอุทกนิยมครั้งที่ 4 ที่มอนาโค เมื่อ พ.ศ. 2480 (ค.ศ. 1937) ข้าพเจ้าได้มีโอกาสไปดูโรงเรียนนายเรือราชนาวีอังกฤษ และได้ดูหอตรวจดาวกรีนนิชด้วย … เมื่อได้ดูกิจการของโรงเรียนนายเรือที่กรีนนิชแล้ว กัปตันโดยตำแหน่งได้เลี้ยงอาหารกลางวันที่สหโภชน์ (Mess) นายทหาร ในโอกาสนั้นได้เห็นแจกันเงินแบบฝรั่งลายไทยจารึกพระนาม อาภากร ให้ไว้แก่ที่สหโภชน์นั้น ซึ่งเขาเก็บรักษาไว้และคงอยู่ที่โต๊ะตลอดมา …”

จากใจกลางลอนดอน นักเดินทางสามารถไปเยือนกรีนิชอย่างสะดวกรวดเร็วได้หลายวิธี เช่นการใช้รถไฟฟ้าสู่สถานี Cutty Sark และเดินต่ออีกเพียงเล็กน้อย หรืออีกทางเลือกที่รื่นรมย์มากกว่า คือการล่องเรือบนแม่น้ำเทมส์จากกลางเมืองสู่ท่า Greenwich Pier

เมื่อขึ้นฝั่งจากท่าเรือ สิ่งแรกที่เป็นเสมือนแลนด์มาร์กของกรีนิชที่ผู้มาเยือนจะได้เห็น ก็คือ “เรือคัตตีซาร์ก (Cutty Sark)” เรือกำปั่นโบราณที่ยังคงอยู่ในสภาพสมบูรณ์ ทำหน้าที่เป็นทั้งสัญลักษณ์และพิพิธภัณฑ์สำหรับผู้สนใจ

เรื่องราวจากอดีตของกรีนิช ยังคงทิ้งร่องรอยเอาไว้มากมายในปัจจุบัน เช่นเดียวกับความเกี่ยวข้องหลากแง่มุมกับพระประวัติ ตามที่โครงการฯ ได้ถ่ายทอดไว้ในนิทรรศการเสมือน “ตามรอยพระประวัติกรมหลวงชุมพรฯ ในอังกฤษ” ซึ่งเพิ่งเปิดตัวไปในวันคล้ายวันประสูติที่ผ่านมา ซึ่งสามารถเข้าชมได้ที่ https://exhibition.hrh-abhakara-120anv-homecoming.com/

แม้ในวันที่บทความนี้ถูกเรียบเรียงขึ้น การเดินทางระหว่างกันของผู้คนในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกยังทำได้ไม่สะดวกนัก จากการระบาดใหญ่ของไวรัส โควิด-19 แต่ในอนาคตเมื่อสถานการณ์คลี่คลาย ก็ย่อมเป็นไปได้ที่ผู้สนใจจะเดินทางตามรอยพระประวัติ สู่ชุมชนริมฝั่งแม่น้ำเทมส์แห่งนี้

กรีนิชอยู่ห่างจากใจกลางลอนดอนเพียงไม่ถึงชั่วโมงด้วยรถไฟหรือเรือโดยสาร แต่บรรยากาศของเขตการปกครองนี้กลับดูผ่อนคลาย คือแทบไม่พบปัญหาการจราจรหรือบรรยากาศแออัดวุ่นวาย ไร้อาคารสูงหรือศูนย์การค้าขนาดใหญ่ สถาปัตยกรรมบ้านเรือนร้านค้าสวยงามเรียบหรู ภูมิทัศน์งดงามทุกช่วงเวลาของปี นับเป็นเมืองที่เหมาะกับการเดินทอดน่องรื่นรมย์ ระลึกทบทวนเรื่องราวพระประวัติ “องค์บิดาของทหารเรือไทย” ได้อย่างเพลิดเพลิน

เรื่องอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

พลิกข้อมูลใหม่ ในพระประวัติกรมหลวงชุมพรฯ จากหลักฐานกว่าร้อยปีที่ถูกลืม

WRITER : นิธิ วติวุฒิพงศ์ ค้นคว้าและเรียบเรียง

เอกสารจากปี 1914 ที่เก็บรักษาอยู่ในห้องสมุดของสถาบันสมิธโซเนียนแห่งสหรัฐอเมริกา ได้บันทึกรายละเอียดเกี่ยวกับเครือข่ายบุคคลและกิจกรรมด้านธรรมชาติวิทยายุคแรกเริ่มในสยาม ซึ่งหนึ่งในชาวสยามเพียงน้อยรายผู้ร่วมกิจกรรมกับเครือข่ายนั้น เป็นพระบรมวงศานุวงศ์ซึ่งเอกสารระบุพระนามว่า “Prince of Chumpon”

แง่คิดชีวิตงาม ตามแนวพระดำริในกรมหลวงชุมพรฯ

WRITER : นิธิ วติวุฒิพงศ์ / ฑิตยา ชีชนะ

เมื่อโมงยามนำวันคืนล่วงสู่ศักราชใหม่ ผู้คนมากมายใช้โอกาสนี้กำหนดความมุ่งมั่นตั้งใจ ในการเปลี่ยนแปลงพัฒนาตนเองสู่หนทางที่ดีงามยิ่งกว่าเดิม จะเป็นไปได้หรือไม่ว่า พระดำริต่าง ๆ ของกรมหลวงชุมพรฯ อันยังปรากฏสืบมาจนถึงทุกวันนี้ อาจมอบแง่คิดเป็นแนวทางชีวิตแก่พวกเราได้บ้าง

ตามรอยพระประวัติกรมหลวงชุมพรฯ ณ ริมฝั่งแม่น้ำเทมส์

WRITER : นิธิ วติวุฒิพงศ์

ชื่อ “กรีนิช” เกี่ยวข้องกับการทรงศึกษาวิชาทหารเรือในอังกฤษ ของนายพลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ อย่างน้อย 2 ช่วงเวลา คือระหว่างทรงเรียนวิชาพื้นฐานเตรียมสอบเข้าโรงเรียนนายเรือในโรงเรียนเตรียมการ (Preparation School) ของนาย William Thomas Littlejohns หรือ W.T. Littlejohns ที่ย่านกรีนิช และระหว่างที่ทรงศึกษาในวิทยาลัยทหารเรือกรีนิช