“… ท้องฟ้าเหนือคุ้งน้ำเจ้าพระยาในยามบ่ายวันนั้น
ไม่มีใครทราบว่าจะเป็นเช่นใด หากแต่บรรยากาศในพระราชวังเดิม
และความรู้สึกภายในจิตใจของ นักเรียนนายเรือ ครู ข้าราชการทหารเรือทุกคน
คงจะจินตนาการได้ไม่ยาก เพราะอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
จะเสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดพระราชวังเดิม
ให้เป็นสถานที่ตั้งอย่างเป็นทางการ
ของสถาบันอันทรงเกียรติที่ชื่อว่า โรงเรียนนายเรือ …”
(ความตอนหนึ่งจากหนังสือ 100 ปี การเสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดโรงเรียนนายเรือ พรรณนาภาพจินตนาการถึงเหตุการณ์การเสด็จฯ เปิดโรงเรียนนายเรือ เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2449)
หนึ่งในพระกรณียกิจสำคัญแห่งพระชนม์ชีพของพลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ คือ “การทรงวางรากฐานกิจการทหารเรือของสยาม” ให้มีประสิทธิภาพทัดเทียมกับนานาอารยประเทศ ตามพระบรมราโชบายในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

แต่กว่าที่กิจการทหารเรือจะสามารถหยั่งรากลึกลงบนผืนแผ่นดินสยามได้นั้น นับว่าไม่ใช่เรื่องง่าย แม้สยามจะมีโรงเรียนนายเรือแล้วก็ตาม แต่ก็ใช่ว่าจะสามารถผลิต “นายเรือ” ที่สามารถเดินเรือในทะเลได้อย่างแท้จริง
ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นช่วงที่สยามกำลังปรับเปลี่ยนทั้งรูปแบบการปกครองและรัฐกิจด้านต่าง ๆ ให้ทัดเทียมกับกาลสมัย ส่งผลให้แต่ละส่วนราชการ ต่างเริ่มวางแบบแผนการบริหารและปฏิบัติราชการขึ้นใหม่หลายด้าน
กำลังพลทหารเรือยุคก่อนการปรับปรุงในยุคนั้น มีเกียรติน้อย มีงานมาก ด้วยต้องรับหน้าที่ราชการหลายด้าน ดังความในพระราชหัตถเลขาของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ว่า “…ทหารเรือ เป็นพนักงานทำสารพัดทุกอย่าง…”
ทหารเรือในช่วงเวลานั้น ถูกขอแรงไปช่วยงานพิธีทางศาสนา เป็นพนักงานสูบน้ำล้างวัง เป็นผู้ส่งหนังสือพิมพ์ตามลำน้ำ เป็นผู้ยิงปืนบอกเวลา หรือแม้กระทั่งเป็นผู้ผลิตน้ำแข็ง ฯลฯ
ด้วยภารกิจที่ “ทำสารพัด” ของทหารเรือ โดยเฉพาะในภารกิจด้านแรงงาน จึงเป็นเหตุให้อาชีพทหารเรือไม่เป็นที่นิยมมากนัก ด้วยยากจะเห็นหนทางเติบโตก้าวหน้า เนื่องจากตำแหน่งนายทหารเรือระดับสูงล้วนตกอยู่กับชาวต่างชาติ เพราะเวลานั้น ยังไม่มีชาวสยามคนใดจะมีความรู้มากเพียงพอที่จะบริหารงานทหารเรือ หรือมีศักยภาพที่จะสอนชาวสยามด้วยกันเอง ให้มีขีดความสามารถนั้น
เมื่ออาชีพทหารเรือไม่ได้รับความนิยม โรงเรียนนายเรือยุคแรกเริ่มจึงไม่ค่อยมีผู้สนใจเข้าศึกษา ปัจจัยประการหนึ่งคือตำราความรู้ต่าง ๆ ล้วนเป็นภาษาอังกฤษ การจะเข้าศึกษาในโรงเรียนนายเรือได้นั้น ผู้เข้าเรียนจึงต้องรู้ภาษาอังกฤษ ประกอบกับหลักสูตรการเรียนการสอนในช่วงเวลานั้น ยังเป็นเพียงการสอนให้ “เดินบนเรือ” ไม่ใช่สอนให้ “เดินเรือในทะเล” ได้จริง แม้จะมีการประชาสัมพันธ์ชักชวนบุตรหลานของข้าราชการให้เข้าเรียน หรือจัดให้มีเงินเดือนสำหรับผู้เข้าเรียนแล้วก็ตาม แต่ความนิยมศรัทธาในวิชาชีพทหารเรือก็ยังคงไม่แพร่หลายในยุคนั้น
การขาดบุคคลผู้มีความรู้และศักยภาพในการเข้ามาบริหารจัดการด้านการเรียนการสอน และสามารถสื่อสารกับนักเรียนชาวสยามได้ จึงเป็นเสมือนจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญที่หายไปสำหรับการวางรากฐานของกิจการทหารเรือไทย
กระทั่ง 2 มกราคม พ.ศ. 2448 นายพลเรือตรี กรมหมื่นชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ ทรงได้รับแต่งตั้งให้เป็นประธานจัดการศึกษาในโรงเรียนนายเรือ จึงอาจกล่าวได้ว่า จิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญที่หายไปได้ถูกค้นพบแล้ว

พระองค์ทรงใช้องค์ความรู้และประสบการณ์จากการทรงฝึกศึกษาในกองทัพเรือ ของประเทศที่ขึ้นชื่อลือชาถึงสมุททานุภาพตามพระราชประสงค์ขององค์พระบิดา นำมาทรงปรับปรุงกิจการของโรงเรียนนายเรือ โดยทรงปรับเปลี่ยนกฎระเบียบและการเรียนการสอนในหลากหลายด้าน เช่น ทรงจัดให้นักเรียนนายเรือทุกชั้นเข้าสอบไล่ขั้นต้นเพื่อจัดชั้นเรียนเสียใหม่ ทรงแก้ไขหลักสูตร เพิ่มเติมวิชาหลายด้านเพื่อการสร้าง “นายเรือ” ที่เดินเรือในทะเลลึกได้จริง ทรงจัดระบบการปกครองโดยให้นักเรียนมีส่วนร่วม ทั้งจัดให้มีการประชุมในทุกวันเสาร์ เพื่อให้ผู้แทนนักเรียนแสดงความคิดเห็นในเรื่องความขัดข้องต่าง ๆ สำหรับปรับปรุงแก้ไขระบบระเบียบและการดำเนินงานให้เจริญยิ่งขึ้น ซึ่งนับเป็นการสร้าง “องค์บุคคล” ที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาบริหารและดำเนินกิจการทหารเรือได้ในอนาคต
ในการทรงพัฒนากิจการโรงเรียนนายเรือ พระองค์ทรงทุ่มเทพระสติกำลังในการทรงสอนสั่งดูแลนักเรียนนายเรือด้วยพระองค์เอง โดยทรงเอาพระทัยใส่อย่างจริงจัง สมดังพระปณิธานของพระองค์เองที่เคยกราบทูลฯ พระบิดา ผ่านลายพระอักษรภาษาอังกฤษหลังทรงเสร็จสิ้นการศึกษาวิชาการทหารเรือก่อนเสด็จกลับสยาม ซึ่งแปลเป็นภาษาไทยได้ว่า
“… บัดนี้ ข้าพระพุทธเจ้าเสร็จสิ้นการสอบและการศึกษาตามระบบทั้งหมดแล้ว จึงได้ศึกษาดูงานในโรงงานแห่งต่าง ๆ ตามที่จะเป็นประโยชน์แก่การปฏิบัติราชการในกรมทหารเรือ ของข้าพระพุทธเจ้าในอนาคต
อนึ่ง ข้าพระพุทธเจ้ามั่นใจที่จะกราบบังคมทูลว่า ข้าพระพุทธเจ้าพร้อมแล้วที่จะกลับสู่สยาม และฉลองพระเดชพระคุณแห่งใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ให้สมกับที่ข้าพระพุทธเจ้าเฝ้ารอมานาน
ดังนั้น โดยพระบรมราชานุญาต ข้าพระพุทธเจ้าจะเดินทางกลับสู่สยาม เพื่อปฏิบัติราชการในใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท อย่างดีที่สุดเท่าที่ข้าพระพุทธเจ้าจะกระทำได้ ข้าพระพุทธเจ้าหวังว่าจะสามารถช่วยบรรเทาปัญหาความยุ่งยากของใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทที่เกี่ยวกับกรมทหารเรือ ในฐานะข้าแผ่นดินอันน่าภาคภูมิ ดังที่ข้าพระพุทธเจ้าได้กราบบังคมทูลเสมอมา ด้วยความปรารถนาแรงกล้าของข้าพระพุทธเจ้า ที่จะประกอบการงานรับใช้ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท …”
ภายหลังที่กรมหมื่นชุมพรฯ ทรงเข้ามาจัดระเบียบ พัฒนา และปรับปรุงการเรียนการสอนของโรงเรียนนายเรือให้มีประสิทธิภาพ ผลิตนายทหารเรือที่มีขีดความสามารถในการเดินเรือและทำการรบในทะเลได้จริง กิจการทหารเรือก็ค่อย ๆ พัฒนาขึ้นเป็นลำดับ สร้างภาพลักษณ์และมุมมองใหม่ต่อวิชาชีพทหารเรือ จากอาชีพซึ่งไม่เป็นที่นิยม กลายเป็นอาชีพที่มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี เป็นที่นับหน้าถือตา

จากต้นไม้ที่แคระแกร็น ที่ได้รับการดูแลเอาใจใส่ รดน้ำ พรวนดิน อย่างสม่ำเสมอ กลายเป็นต้นไม้ที่เติบใหญ่เจริญงอกงาม แผ่กิ่งก้านสาขา หยั่งรากลึกลงบนผืนแผ่นดินสยาม ดังพระราชหัตถเลขาของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวในสมุดเยี่ยมของโรงเรียนนายเรือ เมื่อคราวเสด็จพระราชดำเนินมาทรงเปิดโรงเรียนนายเรืออย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2449 ที่ว่า
“… มีความปลื้มใจที่ได้เหนการทหารเรือมีรากหยั่งลงแล้ว
จะเปนที่มั่นสืบไปในภายน่า …”
การที่กิจการทหารเรือสามารถแตกหน่อผลิใบ จนงอกงามเติบใหญ่ได้อย่างในทุกวันนี้ ไม่เพียงเป็นผลจากพระปรีชาสามารถในองค์บิดาของทหารเรือไทยเท่านั้น แต่ยังสืบเนื่องมาจากสายพระเนตรอันเฉียบคม และพระบรมราชวินิจฉัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ถึงพระคุณลักษณะ พระอุปนิสัย และแนวทางการศึกษาที่เหมาะสมของพระราชโอรสพระองค์นี้ ดังความตอนหนึ่งในพระราชหัตถเลขาที่ทรงตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับพระอุปนิสัยของพระองค์เจ้าอาภากร ตั้งแต่ขณะยังทรงศึกษาในอังกฤษ ที่ว่า
“… ชายอาภากรนั้นอัธยาศัยเป็นคนซื่อมาแต่เดิม
เป็นผู้ที่สมควรแก่วิชาที่เรียนอยู่แล้ว ไม่เป็นคนที่มีอัธยาศัยที่จะใช้ฝีปากได้ในการฝ่ายพลเรือน
แต่ถ้าเป็นการในหน้าที่อันเดียวกันซึ่งชำนาญ คงจะมั่นคงในทางนั้น …”
นอกเหนือจากการทรงนำ “จุดแข็ง” ของพระราชโอรสมาเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนากิจการทหารเรือสยามแล้ว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวยังทรงขจัด “จุดอ่อน” ซึ่งอาจเกิดขึ้นในภายภาคหน้า โดยทรงแต่งตั้งให้สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต ทรงเข้ามาช่วยในด้านการบริหารในกิจการทหารเรือ เพื่อให้กรมหมื่นชุมพรฯ ทรงสามารถใช้องค์ความรู้ใน “องค์ยุทธวิธี” และการพัฒนา “องค์บุคคล” ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ กิจการทหารเรือสยามจึงสามารถขับเคลื่อนและพัฒนาไปข้างหน้าได้อย่างเต็มกำลัง
การที่กิจการทหารเรือมีรากฐานที่แข็งแรงได้อย่างทุกวันนี้ ไม่เพียงอาศัยพระปรีชาและองค์ความรู้แห่งองค์บิดาของทหารเรือไทยเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ในอีกด้านยังสะท้อนให้เราในยุคปัจจุบันได้มองเห็นถึงพระปรีชาสามารถด้านการทรงเป็นนักปกครองที่ล้ำลึกขององค์พระปิยมหาราชเช่นเดียวกัน
